เปิดปมเน่าสังคม ผ่าน #ล่า2018 ละครชำแหละสังคมได้อย่างเจ็บแสบ

1.กระจกสะท้อน คดีข่มขืน

ถือเป็นฉากที่สร้างเสียงฮือฮาในโลกโซเชียลอย่างมาก เพราะความสมจริงของตัวละคร เมคอัพต่างๆ เล่นเอาใครต่อใครที่เห็นภาพต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘นี่ไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม’

ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าสถิติคดีข่มขืนในบ้านเรานั้นติดเป็นลำดับต้นๆ ของโลก โดยค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี มีผู้มาแจ้งความประมาณ 4,000 คดี จับคนร้ายได้เพียง 2,400 คดี และเมื่อพิจารณาตามผลการวิจัย กลับพบว่า เหยื่อที่ถูกข่มขืนกล้าที่จะไปแจ้งความเพียงแค่ประมาณร้อยละ 13 เท่านั้น นั่นหมายความว่าใน 1 ปี อาจมีคดีข่มขืนในไทยมากถึง 30,000 คดีด้วยซ้ำ คำถามคือ ‘เราจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหยื่ออย่างในละครขึ้นอีกในชีวิตจริง’

2.กระจกสะท้อน ความรุนแรงในครอบครัว

ในละคร ประเด็นนี้ถูกนำเสนอผ่านสามีของตัวละครเอกที่ชอบใช้ความรุนแรง และขู่กรรโชกเงิน เพื่อนำไปเล่นพนันและบำเรอเมียใหม่ หรือการใช้กำลังตบตีลงมือลงมือกับภรรยา

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า มีข่าวรุนแรงในครอบครัวมากถึง 466 ข่าว และส่วนใหญ่สามีกระทำต่อภรรยามากที่สุดถึง 71.8 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือคู่รักแบบแฟน และที่น่าตกใจคือพ่อกระทำต่อลูก และพี่น้องกระทำต่อกัน นับเป็นเรื่องราวที่ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมไทยหรือสังคมใดๆ บนโลกใบนี้แม้แต่ที่เดียว

3.กระจกสะท้อน ผู้รักษาความยุติธรรมกลับอยุติธรรม

ประเด็นนี้อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญในเรื่องเท่าไรนัก เพราะมีการพูดถึงผู้พิพากษาที่ตลบตะแลง หาทางช่วยจำเลยของตนเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิด เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง แต่นั่นกลับเป็นจุดเริ่มต้นการล่าของตัวละครในการทำตัวเป็นศาลเตี้ย ไล่ฆ่ากลุ่มคนร้ายที่มารุมโทรมตนกับลูกสาวทีละคน

นับว่าละครเรื่องล่า เป็นเรื่องที่กล้าตอกหน้าคนในสังคมไทยผ่านเรื่องราวของตัวละคร ทั้งยังแฝงไปด้วยข้อคิดต่างๆ และชวนตั้งคำถามต่อสังคมมากมาย คราวนี้ก็ถึงตาของผู้ชมแล้วว่าจะคิด ตั้งคำถาม ตัดสิน หรือมีคำตอบให้กับตัวเองอย่างไร หรือจะให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นเพียงแค่ละครบนจอทีวีเท่านั้น ดูจบแล้วก็ผ่านไป หรือจะให้เป็นกระจกที่สะท้อนความจริง ว่าทุกวันนี้สังคมไทยเสื่อมโทรมแค่ไหน