รองเท้าวิ่ง เพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของนักวิ่งที่มักจะตกเป็นจำเลยอยู่เสมอๆ ว่าเป็นสาเหตุของอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง (ยกเว้นนักวิ่งเท้าเปล่า) การเลือกรองเท้าวิ่งที่เหมาะกับตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด (ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นรองเท้าที่ดีที่สุด คู่ที่แพงที่สุด หรือรุ่นเดียวกับนักวิ่งเคนย่าใส่วิ่ง) เพราะมันมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บจากการวิ่งได้ ไม่ว่าจะเป็นอาการเจ็บ ปวดเข่า ปวดขา ปวดส้นเท้า หรือกล้ามเนื้ออักเสบได้ ดังนั้นการเลือกรองเท้าวิ่งจึงเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดเป็นพิเศษ แนะนำว่าก่อนซื้อควรไปลองด้วยตัวเอง อย่าซื้อเพราะเพื่อนใส่แล้ววิ่งดี หรือคนอื่นๆ แนะนำมาว่าดีมาก วิ่งดี เบา คล่องตัวหรือนุ่มเหมือนวิ่งบนปุยเมฆ เพราะรองเท้าคู่นั้นอาจจะไม่ได้เหมาะกับคุณก็ได้ แล้วเราจะเลือกรองเท้าวิ่งอย่างไรดี??? วันนี้ อันดับแซ่บไปหาคำตอบมาให้แล้วว่า ถ้าจะเลือกซื้อรองเท้าสักคู่ ต้องดูอะไรบ้าง กับ 6 สิ่ง นักวิ่งต้องให้ความสำคัญในการเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง ลดการบาดเจ็บจากการวิ่ง
1.ส้นเท้า (Heel)
รองเท้าวิ่งที่เหมาะกับเท้า เมื่อสวมแล้วลองวิ่งดูจะต้องรู้สึกว่า รองเท้าโอบหุ้มส้นเท้าพอดี ไม่เลื่อนไปมาในขณะวิ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับบีบรัดแน่น จนไม่เหลือพื้นที่ให้ส้นเท้าขยับตัวได้เลย วิธีทดสอบง่ายๆ คือให้ลองสวมรองเท้าแล้วดึงเชือกรองเท้าให้พอดีกับเท้า แล้วลองวิ่งดูว่าส้นเท้าเราเลื่อนขยับไปมาหรือไม่ ถ้าวิ่งแล้วรู้สึกว่าส้นเท้าเราเลื่อนไปมากับพื้นรองเท้า ก็วางคู่นี้ไปได้เลยค่ะ เพราะเอาฝืนเอาไปใส่วิ่งจริงๆ ไม่เวิร์คแน่นอน
2.หลังเท้า (Instep)
ส่วนบนของรองเท้าหรือที่เรียกว่าหลังเท้า เป็นจุดที่นักวิ่งหลายคนมองข้ามไป แต่เชื่อมั้ยว่าการเลือกรองเท้าที่ส่วนบนของรองเท้าให้กระชับพอดีกับหลังเท้าช่วยให้รู้สึกสบายในขณะวิ่งได้ วิธีทดสอบให้ลองสวมรองเท้าวิ่งแล้วผูกเชือกรองเท้า แล้วดูว่าส่วนบนของรองเท้ารวมถึงลิ้นรองเท้ากระชับพอดีกับหลังเท้าหรือไม่ และยังมีพื้นที่เหลือพอมากน้อยแค่ไหน หากแน่นเกินไปอาจจะไปกดทับหลังเท้า ลองคิดดูว่าถ้าคุณต้องวิ่งมาราธอน โดยที่หลังเท้าโดนกดทับไว้ตลอดเวลา มันจะทรมานขนาดไหน?
3.ความกว้างของหน้าเท้า (Width)
ถ้าคุณซื้อรองเท้าวิ่งแบบไม่รู้ว่าหน้าเท้าของตัวเองเป็นแบบไหน โอกาสที่เท้าจะถูกบีบรัดจนรู้สึกไม่สบายเท้าหรือเสียดสีกับนิ้วเท้าจนนิ้วพองห้อเลือดตามมาแน่นอน เพราะฉะนั้น ก่อนเลือกรองเท้า ต้องรู้ก่อนว่า ตัวคุณหน้าเท้ากว้างหรือแคบ ถ้าหน้าเท้ากว้างก็ควรเลือกรองเท้าที่เป็นรุ่นสำหรับหน้าเท้ากว้างหรือพิจารณาเลือกซื้อรองเท้าที่ใหญ่กว่าไซส์เท้าจริงขึ้นมาอีกครึ่งเบอร์ แล้วใช้การผูกเชือกรองเท้าให้แน่นขึ้นอีกนิด วิธีทดสอบ ให้ลองสวมรองเท้า ผูกเชือกรองเท้าให้เรียบร้อยแล้ว ยืนกระดิกนิ้วเท้าทั้งหมดดู ถ้ากระดิกได้อิสระ ก็มั่นใจได้ว่าระหว่างวิ่งคุณจะไม่ต้องทนเจ็บปวดกับอาการเล็บขบ เล็กหลุด เล็บม่วงแน่ๆ
Advertisements
4.ความยาวของเท้า (Length)
เท้าของคนเราสามารถขยายและหดตัวได้ในขณะวิ่ง ดังนั้น เพื่อลดการบีบรัด เสียดสีกับเท้า ควรเลือกรองเท้าคู่ที่เหลือพื้นที่ว่างระหว่างปลายนิ้วที่ยาวที่สุดกับขอบในรองเท้าไว้เล็กน้อย ระยะห่างที่ดี ปลายนิ้วกับขอบรองเท้าด้านในควรห่างกันอย่างน้อยครึ่งนิ้ววิธีทดสอบ ให้ลองสวมรองเท้า ผูกเชือกรองเท้าให้เรียบร้อยแล้ว ลองดูว่า ปลายนิ้วเท้าที่ยาวที่สุด เกยขอบรองเท้าหรือไม่ ถ้าเกยก็แสดงว่ารองเท้าวิ่งเบอร์นี้ไม่เหมาะกับคุณแล้ว
5.จุดยืดหยุ่น (Flex)
รองเท้าวิ่งที่ดีจะต้องมีจุดยืดหยุ่นเท้าเพื่อลดความเสี่ยงอาการปวดฝ่าเท้าขณะวิ่ง อาการเอ็นร้อยหวายอักเสบ หรือปวดน่อง วิธีหาจุดยืดหยุ่นบนรองเท้า ให้จับส้นรองเท้าแล้วกดปลายรองเท้าลงกับพื้น แล้วดูว่าจุดที่มีการโค้งงอตรงกับส่วนเว้าส่วนโค้งของเท้าเราหรือไม่
6.ความรู้สึกขณะวิ่ง (feeling)
เรื่องของความรู้สึกล้วนๆ แต่ละคนชอบความรู้สึกไม่เหมือนกัน บางคนชอบรองเท้าที่วิ่งแล้วรู้สึกนุ่มๆ รู้สึกแข็งๆ แต่วิ่งได้มั่นคง ทรงตัวดี ยืดเกาะถนนดี เบาหวิว เรื่องนี้ไม่มีกฏตายตัว ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน และลักษณะฝ่าเท้ารวมถึงลักษณะการลงเท้าของแต่ละคนด้วย
ที่มา : runnersworld, arirunningclub , LearnandRun
Advertisements