โรคซึมเศร้า ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ใครๆ ก็เข้าใจได้ เพราะอาการซึมเศร้าของแต่ละคนจะแตกต่างไปตามสถานการณ์ที่คนๆ นั้นกำลังเผชิญ คุณอาจเป็นนักเรียนที่กำลังเตรียมสอบ คุณอาจเป็นคุณแม่มือใหม่ที่จัดการชีวิตไม่ได้ หรือคุณอาจเป็นคนหลังเกษียณที่ไม่รู้จะทำอะไรต่อดี แน่นอนว่าปัญหาของแต่ละคนย่อมให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันนั่นคือ ความรู้สึกนั้นมันมากกว่าความเศร้าธรรมดา (เช็กว่าเป็นโรคซึมเศร้ารึเปล่า?ที่นี่)
อาการซึมเศร้า ถือเป็นภาวะความผิดปกติของอารมณ์อย่างหนึ่งที่สามารถส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้ง ความรู้สึก ความคิด และการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้คนที่มีภาวะซึมเศร้าแสดงออกด้วยความเครียด ความเศร้า และขาดความสนใจในความสุนทรีต่าง ๆ บางคนอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายด้วย เช่น น้ำหนักเพิ่มหรือลด ปวดท้อง นอนไม่หลับ หรือบางกรณีอาจถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายอย่างที่เป็นข่าวกัน โดยเราสามารถแบ่งโรคซึมเศร้าออกเป็น 9 ประเภทได้ดังนี้ค่ะ
1. โรคซึมเศร้าหลัก (Major Depression)
โรคซึมเศร้าหลักหรือ Major Depression คือโรคหลักของอาการซึมเศร้าซึ่งมีตั้งแต่อาการระดับน้อยไปจนถึงรุนแรง โดยผู้ป่วยจะมีอาการเศร้ามาก รู้สึกหมดหวัง และขาดความสนใจในกิจกรรมต่างๆ ขาดความกระตือรือร้น นอนมาก หรือ นอนน้อยกว่าปกติ มีความรู้สึกผิด และอาจมีอาการรุนแรงมากจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย โดยการรักษาโรคซึมเศร้าที่ดีที่สุดก็คือการพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยยา ข่าวดีคือ มีคนจำนวนมากรักษาหายด้วยวิธีนี้ค่ะ
2. โรคซึมเศร้าแบบเรื้อรัง (Dysthymia)
โรคซึมเศร้าประเภทนี้มักมีอาการคล้ายกับโรคซึมเศร้าหลัก แต่มีระดับความรุนแรงที่น้อยกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยมักมีอาการต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน จนส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งการรักษาโรคซึมเศร้าประเภทนี้อาจเริ่มต้นด้วยการพูดคุย หรืออาจใช้ยาร่วมด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแพทย์ค่ะ
3. โรคซึมเศร้าหลังคลอด (Postpartum Depression)
ภาวะซึมเศร้าหลังคลอดนั้นเกิดกับคุณแม่หลายคนในช่วงเดือนแรกๆ ของการคลอดลูก ซึ่งเกิดจากภาวะฮอร์โมนของร่างกายที่เปลี่ยนแปลง โดยผู้ป่วยจะมีอาการเครียด วิตกกังวล มีความเหงาและเศร้าปะปนกัน ประกอบกับความกังวลต่อลูกเล็ก ซึ่งผู้ที่มีอาการมากจำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เช่นกัน
4. ภาวะซึมเศร้าเพราะฤดูหนาว (Seasonal Affective Disorder : SAD)
อาจดูเป็นภาวะซึมเศร้าที่คนไทยไม่ค่อยรู้จักนัก อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยจำนวนมากในต่างประเทศที่มีอาการซึมเศร้าเพราะอากาศหนาวเย็นในช่วงต้นฤดูหนาวไปจนถึงช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ โดยบางคนก็ต้องเข้าพบแพทย์เช่นกันค่ะ
5. ภาวะซึมเศร้าที่ส่งผลต่อร่างกาย (Atypical Depression)
จัดโรคซึมเศร้าที่มีภาวะความรุนแรงน้อยที่สุด โดยจะส่งผลออกมาทางร่างกายและพฤติกรรมบางอย่าง เช่น รู้สึกเหมือนไม่ค่อยมีแรงทำอะไร มีการนอนมากเกินไป หรือกินมากเกินไป และอาจปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยโรคซึมเศร้าประเภทนี้สามารถรักษาได้ด้วยการพูดคุยกับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญค่ะ
Advertisements
6. โรคซึมเศร้าที่เข้าสู่ภาวะโรคจิต
ภาวะซึมเศร้าประเภทนี้เป็นอาการที่รุนแรง เพราะผู้ป่วยจะเริ่มมีความคิด พฤติกรรม และความเชื่อที่ผิดไปจากความเป็นจริง จนอาจขั้นมองเห็นและได้ยินในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้น โดยมีการศึกษาพบว่า มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการมากจนถึงขั้นมีอาการทางจิต และต้องใช้การรักษาหลากหลายแบบร่วมกัน
7. โรคไบโพล่าร์
ในบางครั้งโรคไบโพลาร์อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นโรคซึมเศร้าได้ เพราะมีอาการบางส่วนที่คล้ายกัน แต่ในโรคไบโพล่าร์ ผู้ป่วยจะมีอารมณ์ไม่คงที่ ในบางครั้งอาจมีอาการตื่นเต้นมากเกินไป ดูมีพลังงานสูง แต่ในบางครั้งก็มีอาการซึมเศร้า สลับไปมาอยู่ตลอด สำหรับการรักษาโรคไบโพล่าร์จำเป็นต้องรับประทานยาเพื่อช่วยในการปรับอารมณ์ให้มีความปกติมากขึ้น
8. อาการซึมเศร้าก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Dysphoric Disorder)
อาการซึมเศร้าในช่วงการมีรอบเดือนของผู้หญิงนั้น เป็นอาการที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงมากถึง 50% โดยส่งผลให้มีความวิตกกังวล อารมณ์ขึ้นลงง่าย อย่างไรก็ตาม มีเพียง 5% ที่อาการรุนแรงจนถึงขั้นเรียกว่าโรคซึมเศร้า ซึ่งกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันและความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ซึ่งในกรณีนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
9. อาการซึมเศร้าเฉพาะเหตุการณ์ (Situational Depression)
หลายคนมีอาการซึมเศร้าแบบชั่วคราวจากเหตุการณ์บางอย่างที่เข้ามากระทบชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องงาน หรือเรื่องความรัก โดยส่วนใหญ่แล้วโรคซึมเศร้าประเภทนี้ไม่ต้องใช้ยารักษา เพราะจะเริ่มมีอาการดีขึ้นเองหลังจากเหตุการณ์ผ่านพ้นไป อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเป็นเวลานานก็อาจพัฒนากลายเป็นโรคซึมเศร้าแบบหลักได้ค่ะ
ความจริงแล้วการจะตัดสินว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าแบบไหนหรือใช้วิธีรักษาแบบใดนั้น ควรอยู่ในวิจารณญาณของแพทย์ เพราะโรคซึมเศร้าส่วนใหญ่จะไม่สามารถรักษาให้หายเองได้ แถมหากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา อาจก่อให้เกิดอันตรายมากกว่าที่คิด สำหรับคนที่ยังสงสัยอยู่ว่าตัวเองหรือคนใกล้ตัวกำลังเข้าข่ายโรคซึมเศร้าหรือไม่ UndubZapp แนะนำว่าให้ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูดีกว่าค่ะ
แซ่บกันต่อ…
>> วันที่เศร้าหมอง…ชีวิตยังเป็นของเรา! 5 วิธีคิดบวก ในวันที่เจอเรื่องแย่
>> เครียดจนคิ้วย่น!! 13 การใช้ชีวิตทำลาย “สุขภาพจิต” เกิน 5 ข้อเสี่ยงซึมเศร้าแล้วนะ
Advertisements